วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[Exit Strategy] Part 9/9 : The Conclusion

[Exit Strategy] Part 9: The Conclusion

บทนี้เป็นบทเพิ่มเติมจาก หนังสือหลัก ซึ่งผม, ผู้แปล (Rojer FX), เขียนสรุปขึ้นมาเอง เพื่อนำใจความ
สำคัญมารวมไว้ให้เป็นบทเดียว จะได้ง่ายต่อการทบทวน และ มาอ่านสรุป
----------------------------------------------------------------------------------
                ในบทแรกของหนังสือเป็นการพูดถึงภาพกว้าง และ เริ่มแนะนำวิธีออกแบบต่างๆ
                ในการเทรด คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ จุดเข้ามากกว่า จุดออก”, แต่ผู้แต่ง (Lance
Beggs) เชื่อว่า การออกเป็นสิ่งที่มีผลต่อความสำเร็จในการเทรด มากกว่า การเข้า”, เขาจึงเริ่มจาก
ยกตัวอย่างกราฟหลายๆแบบให้เราเห็นถึงความสำคัญว่า ถ้ามีแผนการออกดีๆ จะมีโอกาสชนะมากขึ้น และ
ได้จำแนกรูปแบบการออกเป็น 2x2 ประเภท
                1. วิธีออกด้วยการแพ้
ผู้อ่านอาจจะแปลกใจที่ เขาสอนวิธีรับมือกับความพ่ายแพ้ก่อนจะเล็งชัยชนะ ซึ่งตรงนี้เป็นจิตวิทยาที่ถูกต้อง
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ และไม่อยากยอมรับ, การจะอยู่รอดให้ได้อย่างยั่งยืนในตลาดสิ่งสำคัญคือ "การอยู่
รอด" ก่อนจะเป็น "การเติบโต" ดังนั้นการฝึกเอาตัวรอดจึงสำคัญสุด เขาจึงสอนให้รู้จักวิธีจำกัดความเสีย
หายในแต่ละครั้ง โดยสอนเรื่อง Stop Loss เป็นอันดับแรก
                (1.ความกว้างของ Stop Loss ที่วาง ตอนเข้าออเดอร์)
1a. Stop แบบกว้าง : จะเป็นการวาง Stop แบบที่เรียกได้ว่า กล้าได้ กล้าเสีย, คือ จะมีโอกาสที่จะได้
Trend ชุดใหญ่ เพราะทนการแกว่งได้มาก แต่ถ้าชน Stop ขึ้นมา ก็จะเสียมากเพราะมันกว้างนั่นเอง
1b. Stop แบบแคบ : เป็นการวาง Stop แบบ Play Safe, คือ ความเสียหายแต่ละครั้งจะน้อย แต่โอกาส
จะได้ Trend ชุดใหญ่น้อยลง และ จะชน Stop บ่อยขึ้น
(ส่วนวิธีเทรดโดยไม่มี Stop Loss นั้น ผู้แต่งมองว่ามันเป็นการพนัน ไม่ควรทำไม่ว่าในกรณีใดๆ)
               
                ซึ่งจากตรงนี้ ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนัก นำเสนอแค่ทฤษฏีก่อน ภายหลังจะเอาเรื่อง
นี้ไปรวมกับบทจิตวิทยา ก็จะได้เห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม, หากจะมองว่าตรงนี้มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมก็คือ "ต้องมี
Stop Loss ทุกออเดอร์"

                2. วิธีออกด้วย ชัยชนะ
2a. แบบวาง Target Point ไว้ ณ ราคาเป้าหมายที่เลือกไว้ล่วงหน้า : แบบนี้เหมาะกับตลาด Sideway
2b. แบบเลื่อน Stop Loss ไล่ตามหลัง : แบบนี้เหมาะกับตลาด Trend

                ซึ่งจากตรงนี้ เราได้เรียนรู้สิ่งแรกที่เป็นรูปธรรมเลย คือ ถ้าเราเดาว่า ตลาดเป็น Sideway ให้
เลือกการวาง TP ที่ขอบของ Channel ของ Sideway Channel (คือ แบบ 2a)


                แต่ในกรณีตลาดเป็น Trend, เนื่องจากเราไม่รู้ว่า มันจะสุดเทรนที่ไหน เมื่อไหร่ เราก็กำหนด
ล่วงหน้าไม่ได้ แต่เราก็อยากจะวิ่งตามเทรนไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่หักหัวเลี้ยวกลับซะก่อน แบบนี้ ก็ควรเลือก
วิธีออก โดยการเลื่อน Stop Loss ไล่ตามหลัง (แบบ 2b)
-----------------------------------------------------------------------------------
                บทต่อมา ผู้เขียนพูดถึงเรื่อง จิตวิทยาการเทรด และ ความเข้ากันได้ของ รูปแบบการออกต่างๆ
กับ จิตวิทยาการเทรดของแต่ละบุคคล โดยยกตัวอย่างกรณีระบบของเขาเป็น ต้นแบบในการศึกษา
เริ่มโดยเผย จิตวิทยาความเชื่อของเขาก่อน

ความเชื่อ #1 : ไม่มีกฎตายตัว สำหรับทุกๆสถานการณ์, เขาเชื่อว่าในแต่ละสถานการณ์ จะมีรูปแบบออกที่
ดีแตกต่างกันไป : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ เราต้องอ่านกราฟแล้วเลือกรูปแบบการออกให้เหมาะ
อย่าไปยึดอยู่กับวิธีออกหนึ่งๆทุกการเทรด (แต่อาจจะมีแบบหลักได้ แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นแบบนั้นทุกครั้ง)

ความเชื่อ #2 : ไม่มีวันที่จะทำให้ วิธีออกสมบูรณ์แบบ : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ อย่าไปยึดติด
ว่า จะเอากำไรสูงสุด (Maximum Profit) โดยต้องรับภาระเสี่ยงต่อการเลี้ยวกลับ แต่ให้เล็ง กำไรที่
เหมาะสม (Optimum Profit) คือ มีกำไร แต่ไม่เสี่ยงเกินไป

ความเชื่อ #3 : การเทรดเสีย จะสร้างความเสียหายที่แท้จริงที่จิตใจ ไม่ใช่ทางด้านการเงิน : สิ่งที่เราเรียน
รู้ได้อย่างรูปธรรมคือ อย่าเล่นโดยไม่มีวินัย อย่าเล่นนอกแผน โดยเฉพาะอย่าเล่นแบบไม่มี Stop Loss

ความเชื่อ #4 : แผนที่ใช้ออก ต้องออกแบบให้เหมาะกับจริตของตัวเอง : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ
ต้องเข้าใจตัวเองว่า เป็นคนที่ชอบอะไร แล้วเลือกระหว่าง ได้มากเสียมาก กับ Play Safe, และให้
ตระหนักไว้ว่า มีวิธีการเลื่อน Stop Loss ไล่ตามหลังเทรน ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบ Play Safe

ความเชื่อ #5 : การป้องกัน สำคัญกว่า การบุก : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ต้องวางแผนการออกให้ดี
แล้วฝึกให้หนัก ฝึกให้คล่อง เพราะคนส่วนมากสนใจแต่แผนเข้า ไม่สนใจแผนออกกันเท่าไหร่

ความเชื่อ #6 : รูปแบบการออก แต่ละแบบ ใช้ได้ดีกับ ตลาดที่แตกต่างกันไป : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่าง
รูปธรรมคือ, ในตลาด sideway แกว่งตัว :  การออกด้วยวิธี ตั้งเป้าล่วงหน้า จะทำกำไรได้ดีกว่า แบบ
Trailing Stop, ในตลาดเป็นเทรนแบบราบเรียบ ไม่ค่อยแกว่ง: Trailing Stop จะทำกำไรได้ดีกว่า แบบ
ตั้งเป้าล่วงหน้า, ในตลาดที่เป็นเทรนที่แกว่งตัวรุนแรง : การออกด้วยวิธี ตั้งเป้าล่วงหน้า จะทำกำไรได้ดีกว่า
Trailing Stop

ความเชื่อ #7 : การเลือกวาง Stop Loss จะต้องได้อย่างเสียอย่าง ระหว่าง ความถี่ในการชนะ กับ อัตรากำไรเฉลี่ย ชนะ/แพ้  : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ต้องเข้าใจว่า ได้อย่างเสียอย่าง ระหว่าง ชนะบ่อย กับ
อัตรากำไรเฉลี่ยดี, แล้วก็ให้เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ ไว้ใช้เป็นระบบออกหลัก , ถ้าชอบชนะบ่อย แต่ได้น้อย ให้เลือก
Stop Loss กว้าง (ซึ่งการออกแบบนี้จะมาพร้อมๆกับ นานๆเสียทีแต่เสียเยอะ), ทางตรงข้าม ถ้าชอบ อัตรากำไร
เฉลี่ยดี ก็ให้เลือก Stop แคบ เพราะ เวลาชน Stop ความเสียหายจะน้อย ซึ่งทำให้ตัวหารน้อย อัตรากำไรเฉลี่ยเลยดีขึ้น

ความเชื่อ #8 : ให้วาง Stop Loss ในตำแหน่งที่ เป็นจุดตัดสินว่า การวิเคราะห์ตลาดของเราผิดทางแล้ว :
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ให้วาง Stop Loss ตามแนวรับ แนวต้านต่างๆ, อย่าวางโดยใช้การ
คำนวณว่าจะ Stop loss กี่ % ของทุนเพียงอย่างเดียว

ความเชื่อ #9 : เมื่อความได้เปรียบหมดไป ให้ออกจากตลาด: สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ เราไม่จำ
เป็นต้องรอจน ราคาชน TP หรือ SL เท่านั้น, เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่า เริ่มผิดทาง ลังเล หรือ ไม่แน่ใจ, ให้ปิด
ออเดอร์ทันที ไม่ว่าจะบวกหรือลบอยู่ก็ตาม อย่าไปเสี่ยงอยู่กับสภาวะตลาดที่เราดูไม่ออก
---------------------------------------------------------------------------------------------------
                บทสุดท้าย, บทที่ 3, ผู้แต่งยกตัวอย่าง ระบบการออกของเขา เป็นต้นแบบ (Study Model) ว่า
ทำไมเขาถึงเลือกวิธีนั้นๆ เป็นแผนการออกของเขา แล้วเราควรจะเลือกอย่างไร ควรเหมือนหรือแตกต่าง
จากเขา? โดยพิจารณาปัจจัยในการเลือกดังนี้

1. เป้าหมายการเทรด : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ เขาเลือกใช้ Stop Loss แบบแคบ
โดยเพิ่มความถี่ในการชนะให้มากขึ้นอีก ด้วยวิธีการที่เสริมเพิ่มขึ้นมา คือ พยายามเข้าออเดอร์ก็ต่อเมื่อมั่น
ใจ เช่น อยู่ใกล้แนวรับ แนวต้าน ที่คาดเดาได้ว่า จะผ่านหรือไม่ผ่าน แล้วก็เข้าที่บริเวณนั้น แล้ววาง Stop
Loss ไว้ที่แนวรับ แนวต้านใกล้ๆอันนั้น จึงทำให้วาง Stop Loss ได้แคบ แต่โอกาสชนะเยอะ

2. ธรรมชาติของตลาด: สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ความเข้าใจว่า ตลาด Forex ส่วน
ใหญ่เป็น sideway มากกว่าเทรน ดังนั้น การเล่นแบบ sideway jumper เป็นสิ่งที่ทำกำไรได้มากกว่า แต่ก็องมี Stop Loss ทุกครั้งเผื่อตลาดเป็นเทรนขึ้นมา

3. ความเหมาะกับจิตวิทยา : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ต้องเข้าใจตัวเอง แล้วก็เลือก
ระบบการออก โดย 3.1.ให้เหมาะกับสภาวะตลาด 3.2.ให้หมาะกับจิตวิทยาของตัวเอง
               
จากนั้นหนังสือก็พูดถึงรายละเอียดลึกลงไปในวิธีการวาง Stop Loss
                1.การวาง Stop Loss ตอนเข้า จะต้องแคบ แต่ก็ต้องกว้างพอจะทนการแกว่งในระดับ noise
ได้ : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ให้วาง Stop Loss ไว้ที่แนวรับ แนวต้านอันถัดไป โดยให้เผื่อเพิ่ม
อีกเล็กน้อย

                2.ธรรมชาติของวิธีเข้าของผมคือ ถ้าเข้าถูกจริง ราคาจะวิ่งไปทางที่ผมต้องการอย่างเร็ว : สิ่งที่
เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ ถ้าเข้าไปแล้วราคายังไม่ยอมไปในทางที่เราต้องการ ก็ให้ cut loss ทิ้งเลย,
และ ถ้าเป็นการเล่นสวนเทรน กำไรแล้วให้รีบๆออก

3.การบริหาร ออเดอร์ระหว่างการถือ : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ เราสามรถแบ่ง
ออเดอร์ออกเป็นส่วนย่อยได้ ส่วนแรกให้ปิดเพื่อ Lock Pofit ก่อนส่วนหนึ่ง เมื่อมีกำไรแล้วก็สามารถนำไปเป็นทุนให้ส่วนที่เหลือ เอาไปลุ้นต่อได้ โดยจะเลือกใช้ Stop กว้างขึ้นเพื่อกินเทรนใหญ่ หรือ จะเลื่อน Stop ไล่ตามหลัง ก็ได้ นั่นคือ เพิ่มความยืดหยุ่นสูงขึ้นนั่นเอง
               
4.กำหนดการออกข่าวเศรษฐกิจ : สิ่งที่เราเรียนรู้ได้อย่างรูปธรรมคือ สำหรับคนที่เทรด Time
Frame เล็ก ควรจะปิดหนีข่าว เพราะวงสวิงมันจะกว้าง จนกินกราฟใน Time Frame เล็กซะมิดนั่นเอง
และ ผู้แต่งก็ยังเตือนว่า ระบบที่ใช้เป็นตัวอย่างเป็นระบบของเขา ออกแบบโดยเขา เพื่อเขาคน
เดียว ฉะนั้น ถ้าผู้อ่านจะนำไปใช้ก็ให้ ปรับแต่งให้เหมาะกับ จิตวิทยาและเงื่อนไขต่างๆตามแต่ละคน และ
ทดสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้จริง
               
ในส่วนสุดท้ายเป็นการยกคำแนะนำสำคัญๆมาจาก บรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งสรุปใจความ
หลักๆได้คือ ทุกคน จะให้ความสำคัญกับ "การแพ้" มากๆ
1.การแพ้เป็นเรื่อง ธรรมชาติ, เมื่อแพ้ขึ้นมาก็อย่ายึดติด ให้จบไปแล้วเริ่มออเดอร์ใหม่
                2.ให้คิดว่า ตัวเองจะเป็นผู้แพ้ ไว้ก่อน, เตรียมใจและพร้อมจะคัทลอสไว้เสมอ
                3.ตกรถ ดีกว่าขึ้นผิดคัน, ถ้ารู้สึกว่าท่าไม่ดี ให้ปิดไปก่อน อย่าเสี่ยงถือในสภาวะที่ไม่แน่ใจ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
                ถึงตรงนี้ก็เป็นอันจบโปรเจคการแปลหนังสือเล่มนี้ "The importance of Exit Strategy" แล้วครับ, หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่าน ไม่มากก็น้อยนะครับ
                โปรเจคหน้าก็คงเป็นการแปลหนังสือ Price Action ที่ค้างอยู่, แต่ถ้าใครคิดว่า มีหนังสือดีๆอยากให้แปล ก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ email: wiroaj@hotmail.com ถ้าหนังสือที่อยากให้แปลนั้นสั้น ผมอาจจะแทรกให้ก่อน เพราะหนังสือ Price Action หนามาก คงต้องแปลเป็นปี, ผมจะแปลหนังสือดีๆให้เทรดเดอร์ทุกท่านฟรีครับ แต่ขอเผยแพร่สู่สังคมทีเดียวไปเลยนะครับ เพื่อให้สังคมการเทรดของไทย พัฒนายิ่งๆขึ้นไปนะครับ
                แนะนำตัวตอนท้ายหน่อยละกัน ผมชื่อ Rojer FX นะครับ  , เป็นเทรดเดอร์ สอนการเทรด และงานอื่นๆเกี่ยวกับการเทรด (แปลหนังสือ เขียนบทความ etc…), ถ้าใครเล่น facebook ก็มาเป็นเพื่อนกันนะครับ http://www.facebook.com/rojer.fx.3,  และ ติดตามผลงานของผมได้ที่ ChiangMai Forex นะครับ http://www.facebook.com/pages/Chiangmai-Forex/275391639215535

---แปลและแต่งโดย Rojer FX, http://www.facebook.com/rojer.fx.3 , จบ Part 9 (จบบริบูรณ์)--

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[Exit Strategy] Part 8: My Approach to Exits (3)


[Exit Strategy] Part 8: My Approach to Exits (3)
My Approach to Exits = วิธีการออกของฉัน (3)

กำหนดการออกข่าวเศรษฐกิจ
1.เมื่อถึงเวลากำหนดออกข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่า จะแกว่งตัวแรง ให้ปิดออเดอร์ให้หมด, ในกรณีถ้าออเดอร์กำไรอยู่ ก็ให้บีบ Stop Loss เข้ามาไว้ใกล้กว่าเดิม, ถ้าคาดการณ์ว่า จะแกว่งตัวสุดๆ (เช่น ข่าว Non-Farm ประจำเดือน หรือ อัตราดอกเบี้ย) อาจจะยกเลิกส่วนที่สองทิ้งไป (Note ผู้แปล: หมายถึง เขาจะปิดออเดอร์ในส่วนการบริหารออเดอร์ที่การออกขึ้นอยู่กับภาวะตลาด เพื่อหลบข่าว), นี่เป็นเรื่องจำเป็น มันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ ก็ช่วยเพิ่มความยืนหยุ่นที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการออก ให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดได้
ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า กลยุตธ์การออกแบบนี้ เป็นวิธีที่ผมเห็นว่า มีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้ว่ามันไม่ใช่วิธีที่กำไรเยอะที่สุด, ที่จริงจากการทดสอบพบว่า ถ้าผมออกด้วย ส่วนที่สองอย่างเดียว (แบบที่การออกขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาด) จะให้ได้กำไรที่ดีขึ้นกว่าเดิม, แต่ผมก็ชอบแบบที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เพราะมันเหมาะกับจิตวิทยาของผม เนื่องจากผมต้องการกำไรอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะได้น้อยกว่าก็ตาม
เพราะจิตวิทยาแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า วิธีออกของผม จะเข้ากันได้กับวิธีการเทรดของคุณเลยสักนิด ดังนั้น ให้รับเอาส่วนที่คุณรู้สึกว่าชอบ และ ทดสอบมันว่าเหมาะกับวิธีการเทรดของคุณหรือไม่, กุญแจสำคัญอยู่ที่ ทดสอบ, ขอให้ทดสอบทุกอย่างให้เพียงพอ ก่อนจะเอาไปใช้จริงเสมอ
การออกแบบแบ่งออเดอร์ของผม มีส่วนประกอบย่อยๆหลายส่วน และ แต่ละส่วนสามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้น ให้รับเฉพาะบางส่วนแล้วเอาไปปรับให้เข้ากับตัวคุณ และ อย่าจำกัดอยู่กับแค่การทดสอบแบบ แบ่งออเดอร์เพียงอย่างเดียว ทำไมไม่ลองทดสอบ ขนาดของออเดอร์ที่แตกต่าง ในส่วนต่างๆ ที่ราคาต่างๆด้วยละ ? (Note ผู้แปล : เขาต้องการสื่อว่า ให้ทดสอบ แปรค่าหลายๆ Factor ดูด้วยเผื่อจะเจอแบบที่ใช่กับตัวเอง)

ตัวอย่างการมีระบบที่เหมาะสมกับจิตวิทยาของตนเอง ซึ่งสอนใน Advance Technical Class by Rojer FX

คำแนะนำจากผู้เชียวชาญ
ผมหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์บ้างแล้วเมื่ออ่านถึงตรงนี้, ผมอยากจะตบท้ายด้วยการขอบคุณอาจารย์ทั้งหลายของผม ที่มีส่วนในการประสิทธิ์ประสาทความรู้ และขัดเกลาความเชื่อเกี่ยวกับการเทรดของผม จนได้ระบบบริหาร และ วิธีการออกของผมนี้, ผมจะขอบคุณด้วยการนำคำพูดของพวกท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่อง เทคนิคการออก มาถ่ายทอดให้ผู้อ่านไปด้วยในตัว

Larry Williams จาก “Long Term Secrets to Short Term Trading”          
-          ผมมีระบบความเชื่อ ที่แข็งแกร่ง และ ทำกำไรได้ จากประสบการณ์ของผม : เมื่อผมเข้าออเดอร์แล้ว ผมจะถือว่า เป็นออเดอร์ที่ผมจะแพ้, คิดไว้ว่าผมเป็นคนขี้แพ้อย่างนี้แหละ (Note ผู้แปล : ผมคิดว่าเขาจะสื่อว่า การแพ้เป็นส่วนหนึ่งของการเทรด และ พร้อมจะ cut loss เพื่อยอมแพ้ทุกเมื่อ แบบ ไม่ดื้อ ฝืนทนถือ ถ้าคิดว่าตัวเองแพ้แล้ว)
-          ทุกครั้งที่บาดเจ็บหนัก ล้วนเกิดจากความคิดว่า ออเดอร์นี้ผมจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งจะทำให้ผมเริ่มเล่นนอกแผน, เหมือนที่พูดไว้ข้างบนว่า ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเป็นฝ่ายแพ้แต่แรก เชื่อสิว่าคุณจะป้องกันตัวได้อย่างดีเสมอ
Mike Reed, จากบทความยอดเยี่ยมทั้งหลายจากเวปไซด์ และ หนังสือของเขา "Read the Greed"
-          สิ่งที่คุณต้องคิดเสมอคือ จำกัดความเสี่ยง ผมสนใจสิ่งนี้มากกว่าทุกอย่างในการเทรด
-          เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทุกคนที่ผมรู้จัก มีวิธีการหนีออกก่อน ในกรณีการเทรดเริ่มส่อแววแย่
-          ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางใดก็ตาม การระบุวิธีออกเมื่อแพ้ เป็นกุญแจของการเทรด
-          อย่าปล่อยให้ออเดอร์กำไร ย้อนกลายเป็น ขาดทุนเด็ดขาด, แม้ว่าการพยายามทำแบบนั้นจะก่อให้เกิดอาการตกรถก็ตาม (ออกเร็วก่อนเทรนจริง) คุณก็ต้องยอมรับมันได้, การเฝ้าหวังแจ๊คพอร์ต จะทำลายการเทรดของคุณ (ความโลภ), มันไม่มีสูตรคณิตศาสตร์ใดๆที่จะใช้ได้ในการออก (เช่น ย้าย Stop มาที่เท่าทุน หลังจากคุณได้กำไร 3 pip), คุณต้องพัฒนาทักษะที่จะบอกได้ด้วยความรุ้สึกว่า ตลาดตอนนี้กำลังเคลื่อนไหวอย่างไรอยู่ แล้ว ใช้ทักษะความรู้สึกนั้น ในการปรับ Target หรือ เลื่อน Stop, สิ่งเหล่านี้จะมาจากประสบการณ์ (Note ผู้แปล : อย่างที่ผมสอนใน Advance Technical Class ว่า Price Action บางเรื่องมันถ่ายทอดไม่ได้ เพราะว่า รายละเอียดและความแปรปรวนมันมากเกินจะมาเขียนออกมาเป็นข้อๆ แล้วเอามาสอน ถ้าจะทำแบบนั้น เรื่องหนึ่งๆ อาจจะต้องสอนให้ดูสองร้อยรูปแบบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ)
-          พูดให้ง่ายคือ ถ้าความได้เปรียบหายไป ให้เผ่นซะ
เมื่อผมจะเข้าออเดอร์ ผมเข้าก็ต่อเมื่อผมได้เปรียบ แล้วนาฬิกาก็จะเริ่มหมุน, ถ้าผมเข้าถูกทาง ราคาควรจะวิ่งตามทิศของผมในไม่ช้า, เราไม่ควรคิดเอาเองไว้ก่อนว่า เราถูกทาง แล้วปล่อยให้ราคาวิ่งทางตรงข้ามไปเรื่อยๆ เพียงเพราะอยากจะเป็นฝ่ายถูก, สิ่งที่ควรทำในกรณีแบบนั้นคือ ควรจะประเมินว่า เราอยู่ผิดทางแล้ว และออกทันที, คุณจะต้องอยู่บนความคิดเบื้องต้นว่า เราอยู่ผิดทางไว้ก่อน และ อย่าปรับมาคิดว่า เราอยู่ถูกทาง จนกว่าจะมีหลักฐานที่หนักแน่นพอ

Larry Conners and Linda Rashcke, จาก "Street Smarts":
-          เป้ามายหลักของการเทรด คือ การลดความเสี่ยงให้น้อยสุด ไม่ใช่ การทำกำไรให้มากสุด
-          จำไว้ว่าทั้ง การเทรดแบบสั้น และ การเทรดด้วยระบบ, ผลกำไรหลักๆจากการเทรดในแต่ละเดือนนั้น มักมาจากออเดอร์ส่วนมาก (ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่) ที่ตัดสินกันด้วย pip เพียงล็กน้อย (ส่วนกำไรจากออเดอร์ใหญ่ๆ จะมีแค่สองสามครั้งต่อเดือน) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญว่าออเดอร์ส่วนใหญ่ เวลาแพ้ ก็ต้องให้ความเสียหายนั้นเล็กด้วย
-          ถ้าคุณจำกัดการแพ้ให้น้อยที่สุดไว้ได้ทุกออเดอร์ คุณจะชนะ 80%
-          จงดีใจ ถ้าได้กำไรแจ๊คพอร์ต แต่ อย่าไปเฝ้าคอยมัน, ตลาดจะเป็นผุ้กำหนดว่าจะให้กำไรมากแค่ไหน, ส่วนตัวเรากำหนดได้ในเรื่อง ขาดทุนมากแค่ไหน
-          ทักษะที่ดีที่สุด คือเรื่อง ทำอย่างไรไม่ให้เสียเงิน
-          มันอาจจะไม่มี Perfect Exit Strategy, แต่หลักการคือ คุณต้องปิดทำกำไรเมื่อมีกำไร แม้ว่ามันจะหมายถึงการออกเร็วไป (ตกรถ)
-          ผุ้คนมักจะทำผิด ในลักษณะไปจดจ่อกับออเดอร์หนึ่งๆ ซึ่งเป็นแค่ หนึ่งในออเดอร์ทั้งหมด 20 ออเดอร์ของเงินทั้งหมด และไม่สนใจ อีก 19 ออเดอร์ที่เหลือ (Note ผู้แปล : คงหมายถึงว่า การชนะ หรือแพ้ ออเดอร์หนึ่งๆ ก็เป็นแค่ส่วนเดียว อย่าเก็บมาเป็นอามรณ์ ที่จะกระทบต่อการเทรดครั้งต่อๆไป)

ตอนหน้า จะมาสรุปบทความทั้งหมดจากเล่มนี้ จะพยายามให้ออกมาในลักษณะรูปธรรมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อที่จะเอาไปใช้ได้จริง ในสถานการณ์จริงกัน
----------- แปลโดย Rojer FX, http://www.facebook.com/rojer.fx.3 , จบ Part 8  --------

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[Exit Strategy] Part 7: My Approach to Exits (2)


[Exit Strategy] Part 7: My Approach to Exits (2)
My Approach to Exits = วิธีการออกของฉัน (2)

วิธีการวาง Stop Loss ตอนเข้า
1.การวาง Stop Loss ตอนเข้า จะต้องแคบ แต่ก็ต้องกว้างพอจะทนการแกว่งในระดับ noise ได้, ในอุดมคติ คือให้วาง ไกลกว่า swing high/low เก่าเล็กน้อย หรือ ปลายแท่งเทียนที่ใช้เข้าเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่เหมาะสมในแต่ละครั้ง), Stop Loss ควรจะทำหน้าที่เป็นตัวพาเราออกจากตลาด ถ้าผมเข้าผิดทางหรือจังหวะ, ในกรณีที่ตลาดไม่ได้วิ่งอย่างราบเรียบ หรือ ตลาดมีตัวแท่งเทียน overlap กันมาก (Note ผู้แปล: หมายถึงมีการแกว่งตัวออก sideway เยอะ) ให้วาง stop loss ให้ไกลเพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 pip เผื่อทนการทดสอบเล็กๆน้อยๆ และ ทนการทะลุ Break out หลอก


ตัวอย่างหลักการวาง Stop Loss ที่ดี ซึ่งผู้แปล Rojer FX สอนใน Advance Technical Class
ใช้หลักการเดียวกับผู้แต่ง

2.ธรรมชาติของวิธีเข้าของผมคือ ถ้าเข้าถูกจริง ราคาจะวิ่งไปทางที่ผมต้องการอย่างเร็ว ดังนั้นถ้าราคาไม่เป็นไปตามที่คาด คือรู้แล้วว่าผิดทาง ผมก็จะพิจารณาออกก่อนถึง Stop Loss ที่วางไว้, เพื่อลดการขาดทุนให้น้อยลงไปอีก
2a. ผมจะออกก่อนถึง Stop Loss ถ้าการเคลื่อนไหวของราคาบอกว่า การเข้าของผมผิดแล้ว เช่น การที่ราคาอยู่นิ่งเป็นเวลานานๆ, โมเมนตัมของการวิ่งเริ่มลด หรือ เริ่มมีสัญญาณกลับตัว, เราควรออกจากตลาดไปก่อนตอนไม่แน่ใจ แล้วถ้าเห็นรูปแบบที่ควรเข้าภายหลัง ค่อยกลับเข้ามาใหม่ ซึ่งแบบนี้ดีกว่าการจะมาถือแช่ไว้แล้วภาวนาว่ามันจะถูกทาง
2b. เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่แน่ใจในออเดอร์ที่เข้ามาแล้ว ผมจะออกไปก่อน แล้วก็วิเคราะห์ใหม่, ดีกว่าจะปล่อยทิ้งไว้ให้ชนด้านใดด้านหนึ่งระหว่าง Target กับ Stop (Note ผู้แปล: พูดให้เห็นภาพง่ายขึ้นคือ ให้หยุดรถกลางทางได้ โดยไม่ต้องวิ่งไม่หยุดจนกว่าจะถึงจุดหมาย ทั้งจุดหมายด้านหน้า หรือ ด้านหลัง)
2c. ถ้าเวลาล่วงเลยมาสักระยะแล้ว แต่ราคามาไม่ถึงจุดที่หวังไว้ (ปกติแล้ว สามแท่งเทียน, แต่ก็ยืดหยุ่นได้ตามสภาวะตลาด) ผมจะพิจารณาออกเลย หรือ อาจจะเลื่อน Stop Loss ขึ้นมาให้แคบลงกว่าเดิม ถ้าทำได้
2d. การเทรดสวนเทรน ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกว่ามาก พร้อมกับการคาดว่าจะออกเร็ว

การบริหาร ออเดอร์ระหว่างการถือ
1.ในกรณี โมเมนตัมของราคาเริ่มอ่อนลง ให้เลื่อน Stop ขึ้นมาอย่างเร็ว และ ในกรณีที่กำไรอยู่เล็กน้อย ถ้าทำได้ให้เลื่อน Stop มาที่เท่าทุน, ทั้งสองกรณีที่กล่าวมา ถ้าราคาแค่ย่อตัวเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะวิ่งออกไปถูกทางของเรา อาจจะทำให้โดน Stop เร็วไป แต่ผมก็ยอมรับได้ เพราะการย่อตัวเพียงเล็กน้อยที่ว่านั้น บ่อยครั้งก็กลายเป็นการเปลี่ยนทิศไปทางตรงข้ามจริงๆ, ฉะนั้นผมถือว่าการที่ผมได้ลดความเสี่ยงลงแบบนี้ ผมทำถูกต้อง, ผมสามารถที่จะประเมินสถานการณ์ใหม่ แล้วกลับเข้าไปได้เมื่อโอกาสเหมาะ หรือ แม้ว่าราคาจะวิ่งออกไปไกลโดยไม่มีผม (ผมตกรถ) ผมก็ว่าผมทำถูก เพราะผมไม่เสี่ยงขาดทุน มากกว่าจ้องจะเอากำไร
               
2. การเทรดสวนเทรน ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกว่ามาก พร้อมกับการคาดว่าจะเลื่อน Stop มาที่ จุดเท่าทุน

การบริหารแบบ แบ่งออเดอร์ออกเป็นส่วน
1. แม้ว่าเงื่อนไขการเทรดของผมจะใช้วิธีการออกที่เป้าที่กำหนดไว้ (กำหนด TP ล่วงหน้า) เพราะผมต้องการมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ, แต่ผมก็แยกการบริหารออเดอร์ออกเป็นส่วนๆ เพื่อที่ว่าจะได้มีความยืดหยุ่น

2. ส่วนแรก จะใช้วิธี กำหนด Target Point ล่วงหน้า, ตำแหน่งที่จะวาง TP นั้นแปรผันได้ตามการวิเคราะห์ตลาดของผม โดยปกติแล้วมักจะเป็น แนวรับ/ต้าน อันถัดไป อาจจะเป็น แนวรับ/ต้าน หลัก หรือ รอง ก็ได้

3. ส่วนที่สอง จะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตามนี้
                3a. ในตลาดที่เป็นเทรนอย่างราบเรียบ, ส่วนนี้จะใช้วิธี เลื่อน Stop Loss ไล่ตามเทรน โดยวางไว้ให้ไกลกว่า Swing High/Low ชุดก่อนหน้านี้เล็กน้อย, ถ้าเห็น Parabolic หรือ คลื่นส่งตัว อาจจะเลื่อน Stop Loss บีบเข้ามาให้แคบลงอีก โดยตำแหน่งการวาง Stop ดูจาก Time Frame ที่เล็กกว่า (Note ผุ้แปล: Parabolic กับ คลื่นส่งตัวที่ว่า หมายถึงถ้ามีการวิ่งของราคาแรงๆ) การกระทำนี้ก็เพื่อที่ให้มั่นใจว่า มีกำไรจากส่วนนี้แน่ๆ
                3b. ในตลาดที่เป็น Side way หรือ แกว่งไปมา (ไม่ว่าจะเป็นเทรนหรือไม่), ส่วนนี้ จะใช้การออกด้วยวิธี เป้าที่กำหนดไว้, โดยปกติแล้วมักจะเป็น แนวรับ/ต้าน หลักอันถัดไป (Note ผู้แปล: กรณีนี้ใช้แนวหลักอย่างเดียว ไม่ใช้แนวรอง), นี่คือวิธีมาตรฐานของผม เพราะมีสมมุติฐานว่า ตลาดเป็น Sideway 70%, ส่วนวิธีเลื่อน Stop Loss ในข้อ 3a. จะใช้ก็ต่อเมื่อเห็นชัดว่า ตลาดเป็นเทรนที่ราบเรียบเท่านั้น

4. ถ้าราคาเริ่มหยุดนิ่ง ก่อนที่จะถึงเป้าทั้งสอง (ทั้ง Stop Loss, Target Point), ส่วนแรก อาจจะออกได้ทุกเมื่อ, ส่วนที่สองอาจจะถือต่อเพื่อให้โอกาส ถึง Target Point หรือ จุดเท่าทุน, แต่ก็อาจจะปิดส่วนที่สองได้ทุกเมื่อเช่นกัน ถ้ารู้สึกว่า ความได้เปรียบหมดไปแล้ว

----------- แปลโดย Rojer FX, http://www.facebook.com/rojer.fx.3 , จบ Part 7  --------

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[Exit Strategy] Part 6: My Approach to Exits (1)

[Exit Strategy] Part 6: My Approach to Exits (1)
My Approach to Exits = วิธีการออกของฉัน

(Note ผู้แปล : ในบทนี้ซึ่งเป็นบทสุดท้าย (บทนี้จะถูกแตกออกเป็นอีกประมาณ สามตอนย่อย) จะมาพิจารณา วิธีออกของผู้แต่ง ที่เขาใช้ในการเทรดสั้น ระหว่างวัน)

ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการพิจารณา 1.เป้าหมายการเทรดของผม, 2.ธรรมชาติของตลาดที่ผมเทรด และ 3.ความเหมาะกับจิตวิทยาของผม, ทั้งหมดนี้จะนำมาใช้ในการบริหารการเทรด และ วิธีการออก
1. เป้าหมายการเทรดของผม : เป้าหมายสูงสุดของผมคือ การมีรายได้เข้ามาคงที่ (Note ผู้แปล : เขาหมายถึง ได้น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ) ผมไม่ได้หวังแจ๊คพอร์ตใหญ่ ถ้าได้แจ๊คพอร์ตมาบ้างก็ดี แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักอยู่ดี, ฉะนั้น ผมไม่สามารถคอยรอเทรนใหญ่ๆอย่างเดียวได้, ผมจึงเทรดแบบ swing เล็กๆ และตั้งเป้าไว้ที่รายได้ที่สม่ำเสมอ, ผมยอมรับว่า ผมไม่ใช่เทรดได้กำไรทุกวัน แต่ผมก็ตั้งเป้าว่า ทุกสัปดาห์ต้องได้กำไร และที่แน่ๆ ต้องกำไรทุกเดือน, ดังนั้น ในการพัฒนาวิธีการออกของผม ต้องมุ่งเป้าไปที่ การมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีองค์ประกอบมาจาก ทั้ง % ชนะสูง(ชนะบ่อย) และ การใช้ความเสี่ยงที่น้อยๆ(Stop Loss แคบ), แม้ว่า เราจะทำให้ %ชนะบ่อยๆ เพิ่มขึ้นได้โดยการใช้ Stop Loss ที่กว้าง แต่ไม่ใช่ในกรณีของผม เพราะผมต้องการใช้ความเสี่ยงให้น้อยที่สุด, ผมเข้าใจและยอมรับถึงวิธีการเทรดของผม ในการวางออเดอร์บริเวณ แนวรับ/แนวต้าน ซึ่งทำให้มีโอกาสชนะสูงขึ้น และ ทำให้ การวาง Stop Loss ของผมแคบไปด้วย, นอกจากนี้ เพื่อจะควบคุมความเสี่ยงไว้ให้ต่ำ จะต้องไม่มีออเดอร์ที่เสี่ยงมากในระดับที่เสี่ยงต่ออาชีพทั้งอาชีพของผม กล่าวคือ การแพ้แต่ละครั้ง ต้องเล็กในระดับที่ สามารถกอบกู้ความเสียหายได้ด้วย การชนะในอีกวันได้


ตัวอย่างภาพการสอนเรื่อง "การวาง Stop Loss ที่ดี" ใน Advance Forex Class ของผู้แปล (Rojer FX), ซึ่งใกล้เคียงกับ วิธีวาง Stop Loss ของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้
(ติดตามการสอน Forex Class เพิ่มเติมได้ที่  http://www.facebook.com/rojer.fx.3 )


2. ธรรมชาติของตลาดที่ผมเทรด : ผมเกลียดมากเมื่อถูกถามว่า “คิดว่าคำพูดที่ว่า The Trend is your friend” เป็นจริงไหม? ถ้าจะตอบว่า Trend เป็นเพื่อนจริง ก็ต้องบอกเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อนคนนี้นี่ เชื่อถือไม่ค่อยได้ด้วยนะ, สำหรับผมแล้ว การมาวิ่งตามเทรน เป็นสิ่งที่ขัดต่อ จิตวิทยาของผมมาก เพราะการพยายามตามเทรน ต้องอดทนต่อการ cut loss บ่อยๆ ซ้ำๆ ทำให้ทุนลดลงๆ ในระหว่างการรอให้เทรนใหญ่ให้เกิดขึ้นจริงๆสักครั้ง (Note ผู้แปล : ผมชอบเปรียบเทียบว่า การเป็น trend follower เป็นเหมือนซื้อหวย เพราะโอกาสถูกน้อย แต่ ถ้าถูกจะได้เยอะ)
ในตลาดฟอเร๊กซ์ มักจะเห็นเทรนสวยๆใน Time Frame ใหญ่, แต่จากประสบการณ์ของผม ซึ่งเล่นใน Time Frame เล็ก กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น, ตลาดใช้เวลาส่วนใหญ่เป็น sideway ซะมากกว่าจะเป็นเทรน แม้ว่า บางครั้งพอเป็นเทรนทีก็วิ่งยาวออกไปไกลก็ตาม, ฉะนั้น ใน Time Frame ที่ผมเทรด ผมต้องใช้วิธีออก ที่ไม่ได้คอยเฝ้าหวังเทรน, ผมจึงเลือกวิธีตีกรอบของราคา แบบ Sideway Swing Trading เพราะผมรู้สึกว่าเหมาะสมกว่า
3. ความเหมาะกับจิตวิทยาของผม : ถึงตรงนี้มาดูกันว่า การเลือก 1.เป้าหมายการเทรด กับ 2.มุมมองต่อธรรมชาติของตลาด ของผม จะเข้ากับ นิสัยของผมหรือไม่,
อันดับแรกเลย คือ การรู้ตัวว่า แม้ว่าผมเกลียดการแพ้ แต่ยิ่ง เกลียดการแพ้ที่ไม่จำเป็นมากกว่าซะอีก , ดังนั้น ผมจะยอมแพ้ เมื่อระบบบอกให้ cut loss เพื่อไม่ให้ความเสียหายมากกว่าที่ควร, ผมยอมรับความเสียหายเที่เกิดจากการไร้วินัยไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น, ดังนั้น ผมจึงต้องมีแผนการออกที่ชัดเจนทุกครั้ง และ ต้องอยู่กับแผนตลอดการเทรด เพื่อให้มั่นใจว่า ความเสี่ยงยังอยู่ในแผนทุกอย่าง
อีกเรื่องที่ผมรับไม่ได้คือ การที่เห็น ออเดอร์เคยเป็นบวกอยู่แล้ว สุดท้ายออกด้วยลบ, ถ้าผมได้กำไรแค่เล็กน้อย หรือ เท่าทุน ผมยอมรับได้, แต่ถ้าปล่อยให้ออเดอร์เคยเป็นบวก แล้ว ย่อลงมาจนเข้าเขตลบ ผมจะตีตวามว่า ผมล้มเหลวในการบริหารออเดอร์นั้น, ฉะนั้นผมจึงคอยจ้อง ที่จะเลื่อน Stop Loss ตามมาที่ จุดเท่าทุนเสมอ (Note ผุ้แปล : เรื่องการ stop loss นี่ถูกสอนอย่างละเอียดใน Advance Forex Class by Rojer FX)
เรื่องสุดท้ายคือ จริงอยู่ว่าผมก็อยากจะจับเทรนได้เต็มๆเหมือนคนอื่น แต่ผมก็ไม่รู้สึกอะไรมาก ถ้าไม่ได้กินเทรนจนสุด, ผมพอใจกับการได้กำไรเล็กๆ แต่เรื่อยๆ ในจุดที่โอกาสงามๆ มากกว่า

ทั้งหมดนี้คือ สิ่งที่ผมใช้พิจารณาเพื่อออกแบบวิธีออกของผม ซึ่งมี 1.เป้าหมายการเทรดของผม, 2.ธรรมชาติของตลาดที่ผมเทรด และ 3.ความเหมาะกับจิตวิทยาของผม, ในตอนหน้า เราจะมาดูรายละเอียดปลีกย่อย ลึกลงไปเพิ่มเติมกัน

(Note ผู้แปล : เนื่องจากผู้แต่งบรรยายยาวไปหน่อย ผมจึงช่วยสรุปให้เห็นภาพชัดๆนะครับ ว่า
1. เขาเลือก Stop Loss แบบแคบ, ส่วน % ชนะสูง ได้มาด้วยวิธีไปรอเข้าที่ แนวรับ/แนวต้าน
2.เขาเลือก Sideway Swing Trade ไม่ใช่ Trend Follow
3.เขาเลือกวิธีการเลื่อน Stop Loss โดยเฉพาะ รีบๆเลื่อนมายัง จุดเท่าทุน)

----------- แปลโดย Rojer FX, http://www.facebook.com/rojer.fx.3 , จบ Part 6  --------